Home > Education > ‘ธนกร สรรย์วราภิภู’ คนไทยเพียงคนเดียวบนเวทีเท้าไฟระดับโลก !!!`

เพราะรักการเต้นเป็นชีวิตจิตใจมาตั้งแต่ยังเยาว์ ทำให้ ‘คุณธนกร สรรย์วราภิภู’ หรือ ‘อาจารย์ไม้’ ของเด็กๆ ในสาขาวิชานาฏยศิลป์ คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา มาเป็นผู้สอนในส่วนนาฏยศิลป์สากลไม่ว่าจะเป็นแจ๊ซแดนซ์ โมเดิร์นแดนซ์ คอนเทมโพรารีแดนซ์ และการสร้างสรรค์ผลงานทางนาฏยศิลป์ ฯลฯ นอกจากงานสอนแล้วอาจารย์ไม้ยังมีผลงานการแสดงทั้งต่างประเทศและในประเทศ ได้แก่ International Dance Festival และ International Solo Festival ล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเขายังได้รับคัดเลือกให้เป็นคนไทยเพียงคนเดียวที่ได้เข้าร่วม Choreolab ขององค์กร World Dance Alliance ซึ่งเป็นองค์กรเต้นระดับสากลด้วย เขามีประสบการณ์ด้านงานแสดงมายาวนานอย่างไร

HELLO! : เพราะอะไรถึงทำให้อยากเรียนเต้น

ธนกร : เพราะความสุข ความอิสระที่ได้เคลื่อนไหว การเปลี่ยนบทบาทของตนเอง การก้าวเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการ และการค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตใจ

HELLO! : กว่าจะมาเป็นอย่างทุกวันนี้ ต้องผ่านการเคี่ยวกรำอย่างไร หนักหนาขนาดไหน

ธนกร : เนื่องจากผมเริ่มเรียนเต้นอย่างจริงจังเมื่ออายุ 22 ปี หลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับ 2 จากคณะนิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ทำให้รู้สึกว่าตนเองต้องขยันและตั้งใจฝึกฝนเป็นพิเศษเพราะนักเต้นส่วนมากจะเริ่มเต้นตั้งแต่ยังเด็กเพื่อปรับสรีระและพัฒนาการ จุดนี้เองที่ทำให้ผมตั้งเป้าหมายและฝึกซ้อมอย่างหนักตลอดเวลา จนได้รับทุนจากรัฐบาลเกาหลีใต้เพื่อศึกษาต่อด้าน Choreography ที่ Korea National University of Arts ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยด้านศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศเกาหลีใต้ ปัจจุบันผมกำลังศึกษาต่อในสาขาวิชานาฏยศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คุณไม้ กับการแสดงต่างๆที่เล่นกับร่างกาย อันมีลมหายใจเข้ามามีบทบาท

HELLO! : บรรยากาศการเรียนเต้นในเกาหลีใต้เป็นอย่างไรบ้าง

ธนกร : เนื่องจากผมเรียนวิชา Choreography (ออกแบบท่าเต้น) ซึ่งต้องใช้กระบวนการคิดมากกว่าการเรียนเต้นทั่วไป ประกอบกับครูต่างชาติจากยุโรป อังกฤษ และสหรัฐอเมริกามาสอนซึ่งกระตุ้นให้เราใช้ความคิดสร้างสรรค์โดยเน้นให้เราทำงานที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง นอกจากนี้ยังมี Dance ดีๆ จากทั่วโลกมาแสดงที่เกาหลีใต้ด้วย เราเป็นนักศึกษาก็จะได้รับคำสั่งให้ทำรายงานเกี่ยวกับการแสดงเหล่านี้สม่ำเสมอ และยังมีDance Festival ให้ดูปีละ 3 – 4 ครั้งด้วยก่อนไปผมคิดว่าคนเกาหลีใต้คงจะตัวใครตัวมันแต่พอไปถึงแล้วพบว่าคนเกาหลีใต้เอาจริงเอาจังกับสิ่งที่ตัวเองทำ แต่เราโชคดีที่เพื่อนๆ ช่วยเหลือกันท่ามกลางบรรยากาศที่สนุกสนาน ทุกคนมุ่งเน้นที่จะแข่งขันกับตัวเองมากกว่า แต่ถ้าเป็นการประกวดเต้นรำ การแข่งขันจะเข้มข้น มีแฟนคลับตามแห่ตามเชียร์ ซึ่งถือเป็นอีกมุมหนึ่งที่ได้พบเจอ ผมจบมาด้วยเกรดเฉลี่ย 4.3 ซึ่งเกรดเฉลี่ยที่สูงที่สุดของประเทศเกาหลีใต้คือ 4.35

HELLO! : เพราะอะไรถึงเลือก ‘เต้น’ เป็นอาชีพ

ธนกร : ตอนที่ผมร่วมทุนกับเพื่อนเปิดบริษัทผลิตเว็บไซต์รู้สึกว่าชีวิตวุ่นวายกับการติดต่อคนหรืออะไรต่างๆทำให้ตกอยู่ในสภาวะเครียดแต่โชคดีที่ช่วงเวลานั้นเรียนเต้นไปด้วยและทุกครั้งที่เต้นจะมีความสุขถึงแม้ว่าท่าทางที่เรียนจะยากขนาดไหนก็ตามผมพร้อมที่จะท้าทายตัวเองตลอดเวลาโดยไม่คิดแข่งขันกับใคร คิดเพียงแค่ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดก็พอ

HELLO! : การเป็นนักเต้นที่ประสบความสำเร็จต้องมีคุณสมบัติอะไร

ธนกร : หลังจากจบการศึกษาจากประเทศเกาหลีใต้แนวความคิดด้านการเต้นของผมก็เปลี่ยนไปมากจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่เคยคิดว่าการเต้นที่ดีนั้นต้องทำท่ายากๆ ให้ได้ ต้องฉีกขา เตะขาให้ได้มากที่สุด แต่แท้ที่จริงแล้วนั่นเป็นเพียงส่วนประกอบ นักเต้นที่ดีที่จะประสบความสำเร็จได้จึงจำเป็นจะต้องเข้าใจร่างกายของตนเอง มุ่งมั่นที่จะหาคำตอบให้กับตนเองว่าการทำท่าแต่ละท่าให้ความรู้สึกอะไร ไม่ใช่เพียงการแสดงออกทางสีหน้า หรือที่เรียกว่า ‘ดราม่า’ แต่นักเต้นต้องรู้สึกถึงร่างกายตนเองระหว่างการเคลื่อนไหวทุกครั้งว่าเคลื่อนไหวอะไรทำไมต้องเคลื่อนไหวเพราะฉะนั้นคุณสมบัติที่จะทำให้นักเต้นประสบความสำเร็จได้คือการเข้าใจร่างกายตนเอง

HELLO! : อยากให้เล่าประสบการณ์สนุกๆ เกี่ยวกับการเต้น

ธนกร : ประสบการณ์ที่สนุกที่สุดคือตอนเรียนที่ประเทศเกาหลีใต้ ช่วงนั้นเป็นห้วงเวลาที่ผมค้นหาคำตอบให้กับการเต้นอย่างจริงจังที่สุด ไม่มีวันไหนที่ไม่สำรวจร่างกายและค้นหาการเคลื่อนไหวของตนเอง การเรียนเต้นในประเทศนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขา Choreograph จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องค้นหาการเคลื่อนไหวที่หลุดออกจากกรอบเดิมๆสิ่งที่มาก่อนเป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้ความรู้สึกในช่วงนั้นเสมือนการเปิดมุมมองใหม่ให้กับตนเอง เช่นผมได้คำตอบว่าการเต้นกับศาสนาพุทธมีหลักการเดียวกันนั่นคือตั้งตนอยู่ในปัจจุบันการเคลื่อนไหวอย่างมีสติที่สอดคล้องกับการเดินจงกรมการหายใจที่เข้ามามีบทบาทกับการเคลื่อนไหวเหมือนเวลาเรานั่งสมาธิและมุ่งความสนใจไปที่ลมหายใจหรือในเชิงจิตวิทยาที่ได้คำตอบว่าการเคลื่อนไหวร่างกายสามารถบอกลักษณะนิสัยของคนได้ เช่นการสั่นของกล้ามเนื้อที่บ่งบอกถึงความตื่นกลัวไม่มั่นใจความมั่นใจหรือความลังเลในการเคลื่อนไหวเหล่านี้สามารถบ่งบอกลักษณะและความคิดของคนในช่วงขณะนั้นๆได้ เสมือนไขประตูไปทีละประตูๆและทุกครั้งที่เจอสิ่งใหม่ก็จะรู้สึกสนุกตื่นเต้น อีกทั้งได้มีโอกาสเรียนกับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงอย่างมากทั้งจากประเทศเกาหลีใต้ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สวิสเซอร์แลนด์ อาร์เจนตินา อเมริกาญี่ปุ่น เป็นต้น จึงเป็นประสบการณ์ที่สนุกและรู้สึกว่าคุ้มค่าที่สุดในชีวิต

HELLO! : การแข่งขันในวงการนี้สูงมาก ต้องทำอย่างไรให้เตะตากรรมการ

ธนกร : ส่วนตัวต้องขออธิบายก่อนว่าโลกของการเต้นมี 2 ส่วนส่วนแรกคือโลกธุรกิจที่จะสังเกตได้ว่างานเปิดตัวสินค้าต่างๆมักจะเจอสาวสวยหนุ่มหล่อออกมาเต้นการเต้นไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดแต่กลายเป็นรูปร่างหน้าตาผิวพรรณซึ่งส่วนตัวผมมองว่าถ้าคุณหล่อสวยรูปร่างดีก็จะเข้าตากรรมการที่เป็นลูกค้าจุดนี้เองที่ทำให้คิดว่าประเทศไทยยังล้าหลังในเรื่องของการเต้นอยู่อีกส่วนหนึ่งคือโลกแห่งศิลปะการเต้นการแข่งขันในส่วนนี้ก็สูงเช่นกันถ้าคุณอยากได้รับการคัดเลือกก็ต้องฝึกฝนในหลายส่วนไปพร้อมกันทั้งความสามารถในการเต้นการแสดงออกอย่างจริงใจททำให้ผู้ชมรู้สึกตามความสนใจการเคลื่อนไหวที่สามารถสร้างลักษณะเด่นให้กับตนเอง เพราะผมมีความเชื่อว่าเราถูกฝึกฝนมาด้วยเทคนิคเดียวกัน เพราะฉะนั้นเราต้องหาความแตกต่างเพื่อให้ตัวเองโดดเด่นออกมา

HELLO! : ถ้าหากไม่เต้นแล้ว คิดว่าจะทำอะไร

ธนกร : หากไม่เต้นแล้วก็ต้องสอนเต้นซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายหลักเพราะคิดว่าตนเองได้รับโอกาสที่ดีกว่าคนอื่นในสังคมไทยมีคนเก่งมากมายแต่คนได้รับโอกาสมีไม่มากเมื่อได้รับโอกาสแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการแบ่งปันทำอย่างไรให้คนไทยเข้าใจการเต้นมากขึ้นทำอย่างไรให้คนในโลกธุรกิจหันมาสนใจจุดมุ่งหมายของการเต้นที่แท้จริงมากกว่าความสวยงามด้านหน้าตาและรูปร่างแต่ไร้ความสามารถทางการเต้น เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องปลูกฝังสร้างความเข้าใจให้กับคนรุ่นใหม่ เพื่อความหวังว่าในอนาคตวงการศิลปะการเต้นจะสามารถเติบโตขึ้นอีก และเลือกคนที่มีความสามารถออกมาแสดงดังเช่นในอดีต

HELLO! : เป้าหมายสูงสุดในตอนนี้ของคุณคืออะไร

ธนกร : ผมมีในหลวงเป็นต้นแบบในการพัฒนา และสิ่งที่ผมคิดว่าผมทำได้คือพัฒนาวงการเต้นในประเทศไทยให้เทียบเท่าต่างประเทศปรับเปลี่ยนมุมมองและทัศนคติของคนไทยให้เข้าใจการเต้นมากขึ้น โดยการปลูกฝังสั่งสอน บ่มเพาะความรู้ความเข้าใจให้แก่เด็กรุ่นใหม่ และให้บุคคลเหล่านี้เติบโตขึ้นเพื่อพัฒนาวงการเต้นในระดับชาติต่อไป

Tags
education
Never miss an update

Subscribe to our newsletter to get the latest updates.

No Thanks
You’re all set

Thank you for your subscription.